วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชา ฐานข้อมูลเบื้องต้น การบ้านบทที่ 4 ประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553

1.โครงสร้างข้อมูลเชิงสัมพันธ์ประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ     โครงสร้างของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ มีการใช้โครงสร้างข้อมูลในเชิงตรรกะเพียงรูปแบบเดียวกันเท่านั้น คือ รีเลชั่น โดยที่รีเลชั่นจะถูกมองเห็นในลักษณะของตาราง (table) ที่มีคุณสมบัติดังนี้
           1.แต่ละแถวใช้แทน Tuple หรือ Record ใน Relation
           2.ลำดับของ Tuple ไม่สำคัญ
           3.ลำดับของ Column ไม่มีความสำคัญ                             
           4.ข้อมูลแต่ละ Tuple ต้องไม่ซ้ำกัน
  2.คุณสมบัติในการจัดเก็บข้อมูลของรีเลชั่นมีอะไรบ้าง
ตอบ     -ข้อมูลแต่ละแถวไม่จำเป็นต้องซ้ำกันโดยระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS)  จะมีกลไกที่ใช้ในการควบคุมไม่ให้มีการซ้ำซ้อนเกิดขึ้น เช่น รีเลชั่นพนักงานมีแอททริบิวต์รหัสพนักงานเป็นคีย์และเมื่อมรการป้อนรหัสพนักงานซ้ำกันระบบจะมีข้อความเตื่อนว่าพนักงานซ้ำซ้อนกัน เป็นต้น
           -การเรียงลำดับข้อมูลในแต่ละแถวไม่เป็นสาระสำคัญเนื่องจากการเรียกใช้ข้อมูลในรีเลชั่นสามารถเรียกใช้ตวามความต้องการของผู้ใช้โดยง่าย         -การเรียงลำดับของแอททริบิวต์ไม่เป็นสาระสำคัญทั้งนี้เพราะการอ้างอิงแอททริบิวต์ใดจะใช้ชื่อของแอททริบิวต์นั้นๆในการอ้างอิงไม่ใช้ลำดับที่ของแอททริบิวต์นั้น
          -ค่าของข้อมูลในแต่ละแอททริบิวต์จะบรรจุค่าของข้อมูลประเภทเดียวกัน เช่น แอททริบิวต์วันเกิด จะเก็บข้อมูลประเภทวันที่จะไม่ใช่เงินเดือนที่เป็นตัวเลข เป็นต้น
           -ค่าของข้อมูลในแต่ละแอททริบิวต์ของทูเพิลหนึ่งๆจะบรรจุข้อมูลได้เพียงค่าเดียว (Single Value)
ไม่ใช่กลุ่มของข้อมูลที่แสดงค่ามากกว่าหนึ่งแถว (Repeating Group)
3.รีเลชั่นประกอบด้วยคีย์ประเภทต่างๆอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบประเภทคีย์ดังกล่าว
ตอบ  1.คีย์หลัก (Primary Key) เป็น Attribute ที่มีคุณสมบัติขิงข้อมูลที่มีค่าเป็นเอกลักษณ์ หรือมีค่าไม่ซ้ำกัน โดยคุณสมบัตินั้นจะสามารถระบุว่าข้อมูลนั้นเป็นของ Tuple
         2.คีย์ผสม (Composite Key)
         -การนำฟิลด็ตั้งแต่ 2 ฟิลด์ขึ้นไปมารวมกัน
         -เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็น Primary Key
         -เนื่องจากหากใช้ฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่งเป็น PK จะส่งผลให้ข้อมูลในแต่ละเรคอร์ดซ้ำซ้อนกันได้
        3.คีย์คู่แข่ง (Candidate Key) ในแต่ละ relation อาจมี Attribute ที่ทำหน้าที่เป็นคีย์หลักได้มากกว่าหนึ่ง Attribute โดยเรียก Attribute เหล่านี้ว่าคีย์คู่แข่ง (Candidate Key) เช่นนักศึกษาแต่ละคนมี รหัสประจำตัวนักศึกษาและรหัสประจำตัวประชาชนโดยปกติแล้วจะเลือก Candidates Key ที่สั้นที่สุดเป็น Primary Key
       4.คีย์นอก (Foreign) เป็นคีย์ซึ่งประกอบด้วยแอททริบิวต์หรือกลุ่มของบิวต์ในรีเลชั่นหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเป็นคีย์หลักและจะไปปรากฎอีกรีเลชั่นหนึ่งเพื่อเป็นประโยชน์ในการเชื่อโยงข้อมูลซึ่งกันและกันเช่น ฐานข้อมูลของธนาคารแห่งหนึ่งประกอบด้วย 2 ตาราง คือ 1. ตารางบัญชีที่ลูกค้าเปิด (เลขประจำตัวลูกค้า, ชื่อ - นามสกุลและประเภทของบัญชี) 2. ตารางลูกค้า (เลขประจำตัวลูกค้า, ชื่อ - นามสกุล และที่อยู่) หากต้องการทราบว่าลูกค้ารายหนึ่งเปิดบัญชีใดบ้าง ก็เชื่อมโยงข้อมูล 2 ตารางเข้าด้วยกัน โดยใช้เลขประจำตัวลูกค้าเป็น Foreign Key
4. Null หมายถึงอะไรใน Relational Database
ตอบ Null คือค่าว่าง แต่ไม่ใช่ช่องว่าง หรือเลข 0 เป็นเพียงการที่ยังไม่รู้ข้อมูล ยังไม่พร้อม หรือยังไม่ถึงเวลาที่จะใส่ข้อมูลนั้นๆเข้าไป ซึ่งสามารถนำมาใส่ย้อนหลังด้าน5. เหตุใดจึงต้องมีการนำ Integrity rule มาใช้ในฐานข้อมูล
5. เหตุใดจึงต้องมีการนำ Integrity rule มาใช้ในฐานข้อมูล
ตอบ  Integrity Rule คือกฎควบคุมความคงสภาพของข้อมูล ถูกนำไปใช้เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง คล้องจอง หรือมีความสมเหตุสมผลกัน และจะช่วยป้องกันการกระทำใดแถวของข้อมูลในแอนทิตี้แรกๆ ที่ส่งผลกระทบต่อข้อมูล หรือเกิดความไม่ถูกต้อง ความไม่สอดคล้อใขึ้นกับข้อมูล

6. ความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชั่นมีกี่ประเภท อะไรบ้าง จงยกตัวอย่างประกอบ

ตอบ แบ่งชนิดความสัมพันธ์ออกเป็น 3 ประเภท
  • One to one relationship คือ ความสัมพันธ์ที่แต่ละแถวของข้อมูลในแอนทิตี้แรก สามารถจับคู่กับข้อมูลในเอนทิตี้ที่สองได้เพียงแถวเดียวเท่านั้น
  • One to Many relationship คือความสัมพันธ์ที่แต่ละแถวของข้อมูลในแอนทิตี้แรกจับคู่กับขอ้มุลในเอนทิตี้ที่สองได้มากกว่าหนึ่งแถว
  • Many to Many relationship คือความสัมพันธ์ที่แต่ละแถวของข้อมูลในเอนทิตี้แรก สามารถจับคู่กับข้อมูลในเอนทิตี้ที่สองได้มากกว่าหนึ่งแถวและในทางกลับกันข้อมูลแต่ละแถวของฝั่งเอนทิตี้ที่สองก็สามารถจับคู่กับข้อมูลในเอนทิตี้แรกได้มากกว่าหนึ่งแถว


        

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น
การบ้านบทที่ 3 ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 
1.การแบ่งสถาปัตยกรรมของฐานข้อมูลออกเป็น 3 ระดับ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ
ตอบ วัตถุประสงค์ของการแบ่งสถาปัตยกรรมของฐานข้อมูลออกเป็น 3 ระดับ เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independence) คือในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับที่สูงกว่า จะไม่มีผลกระทบกับข้อมูลในระดับที่ต่ำกว่า
2.ความเป็นอิสระของข้อมูลมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อการจัดการฐานข้อมูล จงอธิบาย
ตอบ  ความเป็นอิสระของข้อมูลคือการที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับแนวความคิด หรือระดับภายในได้โดยไม่กระทบกับโปรแกรมที่ เรียกใช้ ผู้ใช้ยังมองเห็นโครงสร้างข้อมูลในระดับ ภายนอกเหมือนเดิมและใช้งานได้ตามปกติ โดยมี DBMS เป็นตัวจัดการในการเชื่อมต่อข้อมูล ในระดับ ภายนอกกับระดับแนวความคิด และเชื่อมข้อมูลระดับแนวความคิดกับระดับภายใน นั่นหมายถึงการ เปลี่ยนแปลงข้อมูลในระดับที่ต่ำ กว่า จะไม่กระทบกับข้อมูลที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า ซึ่งความเป็นอิสระ ของข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
- ความเป็นอิสระของข้อมูลเชิงตรรกะ (Logical Data Independce) คือ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างของข้อมูลในระดับแนวความคิด จะไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างข้อมูลในระดับภายนอกที่ผู้ใช้งานใช้อยู่ เช่น ในการเขียนโปรแกรมเพื่อแสดงข้อมูลของพนักงาน ซึ่งใช้ข้อมูลใน ระดับภายนอก หากในระดับแนวความคิด มีการเปลี่ยนแปลง โดยการ เพิ่มแอตทริบิวส์บางตัวเข้าไปใน รายละเอียดข้อมูลของพนักงาน จะไม่มี ผลกระทบกับโปรแกรมเดิมที่ทำงานอยู่
- ความเป็นอิสระของข้อมูลเชิงกายภาพ (Physical Data Independce) คือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างของข้อมูลในระดับภายใน จะ ไม่มีผลกระทบต่อ โครงสร้างข้อมูลในระดับแนวความคิด หรือระดับภายนอก เช่น ในระดับภายในมีการเปลี่ยนวิธีการ จัดเก็บข้อมูลจากแบบ เรียงลำดับ (sequential) ไปเป็นแบบดัชนี (indexed) ในระดับภายใน ในระดับแนวคิดนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หรือ โปรแกรมประยุกต์ที่เขียน ในระดับ ภายนอกก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขโปรแกรมตามวิธีการจัดเก็บที่เปลี่ยนแปลงไป

3.ปัญหาที่สำคัญของ Hierarchical Model คืออะไรและเหตุใด Hierarchical Model จึงไม่สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้ทั้งหมด
ตอบ Record ที่อยู่ด้านบนของโครงสร้างหรือพ่อ (Parent Record) นั้นสามารถมีลูกได้มากกว่าหนึ่งคนแต่ลูก (Child Record) จะไม่สามารถมีพ่อได้มากกว่า 1 คนได้
4.เหตุใด Network Model ซึ่งสามารถแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนของซ้ำซ้อนของข้อมูลได้จึงไม่เหมาะกับการนำมาใช้งาน
ตอบ สามารถมีต้นกำเนิดของข้อมูลได้มากกว่า 1 และยินยอมให้ระดับชั้รที่อยู่เหนือกว่าจะมีได้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่าระดับชั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว
5. สิ่งที่ทำให้  Relational  Model  ได้รับความนิยมอย่างมากคืออะไร  จงอธิบาย
ตอบ  -การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้วย Relation Model สามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็วกว่าสะดวกกว่าทำให้ได้ผลงานที่สูงกว่า Hierarchical Model และ Network Model
        -ภาษาที่ใช้เหมาะสมและสามารถ retrieve ข้อมูลด้วยคำคำสั่งเดียว
        -โครงสร้างข้อมูลเรียบง่ายต่อการ Update,Delete,Insert



วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น การบ้านบทที่ 1 ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2553

วิชาฐานข้อมูลเบื้องต้น การบ้านที่ 1 ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2553
1. จงสรุปแนวคิดการจัดการข้อมูลจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ตอบ การจัดการแฟ้มข้อมูล (File Management) ในอดีตแฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในรูปแบบของแฟ้มข้อมูลอิสระ(Convemtional File) ซึ่งระบบงานแต่ละระบบก็จะสร้างแฟ้มของตนเองขึ้นมาโดยที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น ระบบบัญชีที่สร้างแฟ้มข้อมูลของตนเอง ระบบพัสดุคงคลัง (Inventory) ระบบการจ่ายเงินเดือน (Payroll) ระบบออกบิล (Billing) และระบบอื่นก็มีแฟ้มข้อมูลเป็นของตัวเอง หากมีการปรับปรุงแก้ไขเฉพาะส่วนจึงทำให้ข้อมูลบางครั้งเกิดควมสับสนเนื่องจากข้อมูลมีความขัดแย้งกันในบางองค์การอาจมีการเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษาที่เขียนต่างกัน เช่น ภาษาโคบอล (Cobol Language)  ภาษาปาสคาล (Pascal) หรือภาษาซี (C Language) ซึ่งมีลักษณะของข้อมูลที่สร้างด้วยภาษาที่ต่างกันและไม่สามารถใช้ร่วมกันได้จึงทำให้องค์การเกิดความสูญเสียในข้อมูล
2.โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ โครงสร้างแฟ้มข้อมูล (Data Structure) หมายถึง การจัดระเบียบของแฟ้มข้อมูล ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ลำดับจากหน่วยที่เล็กที่สุดไปยังหน่วยที่ใหญ่ที่สุดตามลำดับ
  • บิต (Bit: Binary Digit) คือหน่วยของข้อมูลที่เล็กที่สุดที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ซึ่ง Bit จะแทนด้วยตัวเลขหนึ่งตัว คือ 0 และ 1 เพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกตัวเลข 0 และ 1 ว่าเป็นบิท 1 บิท
  • ไบท์ (Byte) คือหน่วยของข้อมูลที่นำบิทหลายๆบิทมารวมกัน แทนตัวอักษรแต่ละตัว เช่น A,B.... 1,2..... และสัญลักษณ์พิเศษอื่นๆ เช่น $,&,+,-,*,/ ฯลฯ โดยตัวอัการหนึ่งตัวจะแทนด้วยบิท 7 บิท หรือ 8 บิท ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวจะเรียกว่าไบท์
  • เขตข้อมูล (Field) คือหน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนำตัวอักษรหลายๆตัสมารวมกันให้เกิดความหมาย เช่น รหัสนักศึกษา,ชื่อ,นามสกุล,โปรแกรมวิชา,คณะ
  • ระเบียน (Record) คือหน่วยของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกันหรือค่าของข้อมูลเช่นระเบียนนักศึกษาคนที่ 1 ประกอบด้วยเขตข้อมูล รหัสนักศึกษา,ชื่อ,นามสกุล,โปรแกรมวิชา,คณะ
  • แฟ้มข้อมูล (File) คือหน่วยของข้อมูลที่มีการนำระเบียนหลายๆระเบียนที่ม่ีความสัมพันธืกันมารวมกัน เช่น แฟ้มขอ้มูลนักศึกษา
  • ฐานข้อมูล (Database) คือหน่วยของข้อมูลที่มีการนำแฟ้มขอ้มูลหลายๆแฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในระบบทะเบียนของนักศึกษา ประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลรายวิชา นักศึกษา การลงทะเบียน ผลการเรียนและอาจารย์ผู้สอน เป็นต้น
3.การเก็บแฟ้มข้อมูลมีข้อจำกัดอย่างไรจงอธิบาย
ตอบ ในการจัดการแฟ้มข้อมูลที่เป็นอิสระและกระจัดกระจายนั้น พบว่าแต่ละแผนกและแต่ละงานมีแฟ้มข้อมูลเป็นของตัวเองแยกเก็บในแต่ละแผนก เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าอาจมีความคล่องตัวสูงแต่ในขณะเดียวกันอาจก่อให้เกิดปัญหา ดังนี้
  • เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Data Reduddancy) เนื่องจากแต่ละฝ่ายมีแฟ้มข้อมูลของตัวเอง คือข้อมูลชุดเดียวกันมีการจัดเก็บในแฟ้มข้อมูลที่ต่างกันหรือข้อมูลชุดเดียวกันถูกจัดเก็บในสองแฟ้มข้อมูลหรือมากกว่าซึึ่งจะทำให้เป็นการสิ้นเปลืองเนื้อที่
  • ลำบากต่อการแก้ไข (Updating Difficulties) ทำซ้ำซ้อนของข้อมูลจะทำให้ยากต่อการแก้ไขข้อมูลเนื่องจากถ้ามีข้อมูลใดเปลี่ยนแปลงจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงแฟ้มข้อมูลทุกแฟ้มข้อมูลที่มีการซ้ำทั้งหมด อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ และอาจจะเกิดความสับสนหากข้อมูลในแต่ละแฟ้มข้อมูลไม่ตรงกันรวมทั้งยังไม่ตรงกัน รวมทั้งสิ้นเปลือยแรงงานในการเปลี่ยนแปลง
  • เกิดความขัดแย้งของข้อมูล (Data Inconsistency) เป็นปัญหาที่เกิดจากการจัดเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนเนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลชุดเดียวกันในหลายแฟ้มข้อมูล อาจทำให้ข้อมูลชุดเดียวกันอาจเกิดความแตกต่างกันได้ แต่ละแฟ้มข้อมูลถ้าเรามีการปรับปรุงข้อมูลไม่ครบถ้วนซึ่งทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลชุดใดเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
  • เกิดการผูกติดกับข้อมูล (Data Dependance) เมื่อโปรแกรมได้ถูกพัฒนาเพื่อใช้สำหรับแฟ้มข้อมูลโดยเฉพาะจะทำให้เกิดการผูกติกติดกันกับรูปแบบของข้อมูล
  • การกระจัดกระจายของข้อมูล (Data Dispersion) ถ้าข้อมูลถูกจัดเก็บในแหล่งต่างๆอย่างไม่เป็นระบบโดยมีโครงสร้างและรูปแบบของข้อมูลผูกติดกับโปรแกรมที่ใช้งานข้อมูลนั้นจะทำให้เกิดความยากในการใช้ข้อมูลร่วมกันกับโปรแกรมอื่น เนื่องจากต้องมีการพัฒนาโปรแกรมใหม่เพื่อที่จะสามารถใช้กับข้อมูลที่แตกต่างกันได้
  • การใช้ประโยชน์จากข้อมูลลดลง (Undirutilization Of  Data) เนื่องจากต้องมีการพัฒนาโปรแกรมโดยเฉพาะสำหรับการใช้ข้อมูลเพื่องานนั้นๆโดยไม่สามารถใช้โปรมแกรมเดิมที่ใช้งานอยู่ได้ ทำให้เข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ยาก
4.ฐานข้อมูลคืออะไรและยกตัวอย่างฐานข้อมูลที่นักศึกษารู้จักมาสองระบบ
ตอบ ฐานข้อมูล (Database) คือกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธืเกี่ยวข้องกัน เช่น ชื่อ,นามสกุล,เบอร์โทรศัพท์ และกลุ่มข้อมูลดังกล่าวจะถูกจัดเก็บรวมกัน ซึ่งอาจจะเก็บอยู่ในแฟ้มเอกสารหรืออยู่ในคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างฐานข้อมูลที่สามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน
  • การลงทะเบียนเรียน
  • ข้อมูลผู้ป่วยในโรงพยาบาล
5.ฐานข้อมูลช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเก็บข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอย่างไร
ตอบ ฐานข้อมูลจะช่วยสร้างระบบการจัดเก็บข้อมูลขององค์กรให้เป็นระเบียบ แยกข้อมูลตามประเภททำให้ข้อมูลประเภทเดียวกันจัดอยู่ในที่เดียวกันสามารถค้นหาและเรียกใช้งานได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นการนำมาพิมพ์เป็นรายงานหรือจะนำมาเพื่อคำนวณ ซึ่ีงจะขึ้นอยู่กับการนำมาใช้ประโยชน์ของแต่ละองค์กร
6.ระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) คืออะไรมีส่วนสำคัญกับฐานข้อมูลอย่างไร
ตอบ ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) หรือเรียกว่าดีบีเอ็มเอส (DBMS) เป็นกลุ่มโปรแกรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูลซึ่งต่างจากระบบฐานข้อมูลที่ทำหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ในการติดต่อข้อมูลกับฐานข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการใช้คำสั่งในกลุ่มดีเอ็มแอล (DML) หรือดีดีเเอล (DDL) หรือจะด้วยโปรแกรมต่างทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับข้อมูลจะถูกดีบีเอ็มเอสนำมาแปล (คอมไพล์) เป็นการปฏิบัติการ (Operration) ต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆเพื่อนำไปกระทำตัวข้อมูลภายในฐานข้อมูลต่อไป สำหรับส่วนการทำงานภายในดีบีเอ็มเอสที่ทำหน้าที่การแปลคำสั่งเป็นการปฏิบัติการต่างๆข้อมูลนั้นประกอบด้วยส่วนการปฏิบัติการดังนี้

ตัวจัดการฐานข้อมูล (Databaes Manager) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่กำหนดการกระทำต่างๆให้กับ File Manager เพื่อไปกระทำกับข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูล

ตัวประมวลผลข้อคำถาม (Query Processor) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตัวแปลงกำหนดคำสั่งของภาษาสอบถาม (Qurry Language) ให้อยู่ในรูปแบบของคำสั่งที่ตัวจัดการฐานข้อมูลเข้าใจ

ตัวแปลภาษาจัดดำเนินการล่วงหน้า (Data Manipulayion Language precompiler) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่แปลประโยคคำสั่งของกลุ่มคำสั่งในดีเอ็มแอล ให้อยู่ในรูปแบบที่ส่วนรหัสเชิงวัตถุของโปรแกรมแอปพลิเคชันใช้นำเข้าเพื่อส่งต่อไปยังส่วนตัวจัดการฐานข้อมูลในการแปลประโยคคำสั่งของกลุ่มคำสั่งดัเอ็มแอลของส่วนตัวแปลภาษาจัดดำเนินการข้อมูลล่วงหน้าจะต้องทำงานร่วมกับส่วนตัวประมวลผลข้อคำถาม
ตัวแปลภาษานอยามข้อมูลล่วงหน้า (Datatdifinition Language precompiler)  เป็นส่วนที่ทำหน้าที่แปลประโยคคำสั่งของกลุ่มคำสั่งในภาษานิยามข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบของเมทาดาตา (Matadata) ที่เก็บอยู่ในส่วนพจนานุกรมข้อมูล (Data Ditionary) ของฐานข้อมูล
(เมทาดาคือรายละเอียดที่บอกถึงโครงสร้างต่างๆของข้อมูล)

รหัสจุดหมายของโปรแกรมแอพลิเคชัน (Application Program Object Code) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่แปลคำสั่งต่าวๆของโปรแกรม รวมทั้งคำสั่งของกลุ่มคำสั่งภาษาจัดดำเนินการข้อมูล หรือดีเอ็มแอลที่ส่งต่อมาจากส่วนตัวแปลภาษาจัดดำเนินการข้อมูลล่วงหน้าให้อยู่ในรูปแบบของรหัสจุดหมาย (Objec Code)ที่จะส่งต่อให้ตัวจัดการฐานข้อมูลเพื่อกระทำกับข้อมูลในฐานข้อมูล

มีส่วนสำคัญกับฐานข้อมูล คือ
  • ทำหน้าที่แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ฐานข้อมูลเข้าใจได้
  • ทำหน้าที่นำคำสั่งที่ได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve) การจัดเก็บข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) การเพิ่มข้อมูล (Add) เป็นต้น
  • ทำหน้าที่รักษาควมสัมพันธืของข้อมูลในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้อง
  • ทำหน้าที่เก็บรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องในฐานข้อมูลไว้ใน Data Dictionary รายละเอียดเหล่านี้เรียกว่าคำอธิบายข้อมูล Matadata
  • ทำหน้าที่ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
  • ทำหน้าที่ประสานงานกับระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์ต่างๆให้สามารถเรียกใช้แก้ไขข้อมูลหรือออกรายงานกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้
7.จงยกตัวอย่างฐานข้อมูลกับการดำเนินชีวิต
ตอบ
  • โปรแกรมจองตั๋วเครื่องบิน
  • โปรแกรมบริหารบัญชีธนาคาร
  • โปรแกรมบริหารข้อมูลผู้ป่วยตามโรงพยาบาล
  • โปรแกรมทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
  • โปรแกรมบริหารข้อมูลในโกดังเก็บของ

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การจัดระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูลธุรกิจด้วยคอมพิวเตอร์ รหัส 3503201 ตอนเรียน A1

ให้นักศึกษาหาคำศัพท์ที่เกี่ยวกับระบบเครือข่าย อุปกรณ์ต่างๆการสื่อสารข้อมูลโดยแปลความคำศัพท์ในรูปแบบ English-English และ English-Thai คนละ 2 คำ ไม่ซ้ำกันท้งห้องโดยจัดเป็นรายการคำศัพท์

Upload = ใส่ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปยังเครื่องส่วนกลางบรรจุขึ้นหมายถึงการถ่ายโอนข้อมูลจากคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งของคอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลเรียกการเป็นตัวที่ทำการ "บรรจุขึ้น" ส่วนคอมพิวเตอร์ตัวรับข้อมูลเรียกว่าเป็นตัวเลขที่ทำการ "บรรจุลง" ส่วนมากใช้ในการถ่ายโอน จากคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายไปไว้ในแม่ข่ายซึ่งถือว่าสูงกว่า ถ้าเป็นการถ่ายโอนจากแม่ข่าย จะเรียก "บรรจุลง"

Upload = to transfer (as data or files) from a computer to the memory of another device

Switching = เกิดจากการเชื่อตัว computer แบบ point -to - point ไม่สามารถทำให้ PC ติดต่อกันอย่างทั่วถึง จึงได้เกิดอุปกรณ์ Switching เป็น Network LayerFunction สาเหตุที่ต้อง Switching เพราะเราสามารถส่งข้อมูลไปยังเครื่องใดเครื่องหนึ่งได้

Switching = to strike or beat with or as if with a switch

Skype
คือโปรแกรม Instance Massengen ที่สามารถทำงานบนคอมพิวเตอร์ทั้งระบบปฎิบัติการ Window Macintosh Linux และ Window pocket PC เพื่อให้สามารถติต่ิสื่อสารโดยผ่านทางเสียงที่มีคุณภาพ (Voice) ข้อความ (chat) ข้อความด่วน (Instant Massage) และใช้ส่งไฟล์แบบเรียลไทม์ (Real Time Send File) ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

Topology
คือลักษณะกายภาพ (ภายนอก)ของระบบเครือข่าย หมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย Lan แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบเพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งานรูปแบบขแงโทโปโลยีของเครือข่าย

ให้หาข้อมูลอุปกรณ์เครือข่ายคนละ 1 ชิ้น

เราเตอร์ (Router)
เราเตอร์ทำงานใน Layer ที่ 3 ของ OSI Model เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเครือข่าย 2 เครือข่ายหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อม Lan เข้ากับ Lan เข้ากับ Wan หรือแม้แต่เชื่อม Lan เข้ากับ Wan ก็ตาม  โดยที่เครือข่ายนั้นจะต้อง Network Potocol ตัวเดียวกันแต่ใช้ Data Link potocol ต่างกันได้ (ต่อ Ethenet Lan เข้ากับ Token Lan ได้) Router สามารถกรองข้อมูลได้เช่นเดียวกับ Bridge แต่มีความสามารถมากกว่าตรงที่สามารถหาเส้นทางในการส่งแพ็คเก็ตข้อมูลไปยังเครื่องปลายทางได้สั้นที่สุด

IEEE 802.3
IEEE 802.3 เป็นกลุ่มย่อยเดียวกับมาตรฐาน Ethernet ตั้งแต่ด้านกายภาพ (Physical Layer) เช่น Ethernet / Fast / Gig... และด้านโปรโตคอลที่เข้ารหัสเฟรม

IEEE 802.5
IEEE 802.5 คือมาตรฐานการใช้งาน Media Access Method แบบ TokenPassing และ Ring Topology ใช้ได้กับสาย STP ,UTP  Coaxial และ Fiber Optic
ข้อเสีย ถ้าสายเส้นใดเส้นหนึ้งขาดก็จะทำงานไม่ได้

มาตรฐาน IEEE 802.11
คือ มาตรฐานของการรับ - ส่งข้อมูลโดยอาศัยคลื่นความถี่ตัวอย่างของการใช้งานเช่น Wireless Lan หรือ Wi-Fi และอีกทั้งยังได้ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ

มาตรฐาน IEEE 802.11a
มาตรฐาน IEEE 802.11a เป็นมาตรฐานแรกที่ได้รับการประกาศออกมา โดยอาศัยการส่งข้อมูลในช่วงคลื่น 5 GHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่สูง ทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงตามไปด้วยโดยมีความสามารถในการรับ - ส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ 54 Mbps แต่ในช่วงแรกบางประเทศไม่อนุญาตให้ใช้งาน เนื่องจากคลื่นความถี่ 5 GHz นั้นไม่ใช่ความถี่สาธารณะ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน

มาตรฐาน IEEE 802.11b
มาตรฐาน IEEE 802.11b เป็นมาตรฐานที่ออกมาพร้อมกับ 802.11a เพียงแต่ใช้คลื่นความถี่ที่ 2.4 GHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่า 802.11a จึงทำให้มีความเร็วในการรับ - ส่งข้อมูลที่ช้ากว่าโดยมีความสามารถในการรับ - ส่งสูงสุดที่ 11 Mbps เท่านั้น แต่เนื่องจากคลื่นความถี่ 2.4 GHz เป็นคลื่นความถี่สาธารณะ จึงสามารถนำไปใช้งานได้ในทุกๆ ประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องขออนุมัติก่อนแต่เนื่องจากเป็นคลื่นความถี่สาธารณะ ดังนั้นอุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ จึงใช้คลื่นความถี่นี้เช่นเดียวกันเลยทำให้เกิดสัญญาณรบกวนกันได้ง่ายมาก ทำให้ประสิทธิภาพของมาตรฐานนี้จึงถูกลดทอนด้วยปัจจัยจากสภาพแวดล้อม

มาตรฐาน IEEE 802.11g
มาตรฐาน IEEE 802.11g เป็นมาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจาก 802.11b โดยยังคงใช้คลื่นความถี่ 2.4 GHz แต่มีความเร็วในการรับ - ส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 54 Mbps หรือเท่ากับมาตรฐาน 802.11a เพียงแต่ว่าความถี่ 2.4 GHz ยังคงเป็นคลื่นความถี่สาธารณะอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นจึงยังมีปัญหาเรื่องของสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นความถี่เดียวกันอยู่ดี

มาตรฐาน IEEE 802.11N
มาตรฐาน IEEE 802.11N อาจจะยังไม่ถือว่าเป็นมาตรฐานจริงๆ เนื่องจากยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เพราะยังคงอยู่ในช่วงระหว่างการพัฒนาอยู่ และใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งมาตรฐาน 802.11N จะเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วยการใช้เทคโนโลยีมากมายเข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มความเร็วในการรับ - ส่งข้อมูลให้สูงขึ้น โดยจะมีความเร็วอยู่ที่ 300 Mbps หรือเร็วกว่าแลนแบบมีสายที่มาตรฐาน 100 BASE-TX นอกจากนี้ยังมีระยะพื้นที่ให้บริการกว้างขึ้น โดยเทคโนโลยีที่ 802.11N นำมาใช้ก็คือเทคโนโลยี MIMO ซึ่งเป็นการรับส่งข้อมูลจากเสาสัญญาณหลายๆ ต้นพร้อมๆ กัน ทำให้ได้ความเร็วสูงมากขึ้น และยังใช้คลื่นความถี่แบบ Dual Band คือทั้ง 2.4 GHz และ5 GHz ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ว่าออกแบบมาให้ทำงานกับคลื่นใดหรือทำงานกับทั้งสองคลื่นพร้อมๆ กันได้ ซึ่งทำให้บางประเทศที่ยังไม่ได้อนุมัติให้ใช้เครือข่ายไร้สายมาตรฐาน 802.11a อาจจะมีปัญหากับการใช้งานเครือข่ายไร้สายตามมาตรฐาน 802.11N